ในเมืองเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยป่าใหญ่อันเงียบสงัด มีเรื่องเล่าของคุณย่าอีลีนอร์ที่ล่วงลับไปอย่างไม่มีใครรู้ตัว เธอไม่เคยมีชื่อเสียงในหมู่บ้านนอกจากการเป็นผู้หญิงแปลกประหลาดที่ชอบใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและมักจะถูกพบเห็นว่ากำลังเดินเล่นในป่าลึกลับด้วยตัวคนเดียว เมื่อเธอจากไป งานศพของเธอก็ถูกจัดขึ้นอย่างเงียบสงบ ไม่มีใครนอกจากเด็กหนุ่มผู้ชื่อว่าจอห์นนี่ หลานชายที่เธอโปรดปรานที่สุด

จอห์นนี่ได้รับมรดกที่ไม่มีใครคาดคิดจากคุณย่าของเขา: หีบศพไม้โอ๊คที่แกะสลักลายที่ซับซ้อนและแผ่นเพลงที่เขียนด้วยมือที่ดูเก่าแก่และทรุดโทรม เขาพบว่าทุกครั้งที่ดนตรีของเพลงศพถูกเล่น มันจะเปล่งประกายแสงอ่อนๆ ที่ชี้นำเขาไปยังสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางลึกลับผ่านป่าที่คุณย่าเคยเดินเล่น

ชายหนุ่มผู้สืบสานมรดกของคุณย่าไม่สามารถต้านทานความอยากรู้อยากเห็นที่จะตามหาสมบัติที่ถูกซ่อนไว้ได้ เขาจึงจัดงานศพที่ไม่เหมือนใครสำหรับคุณย่า โดยเชิญเพื่อนฝูงและชาวบ้านที่เคารพนับถือเธอ ทุกคนรวมตัวกันรอบหีบศพที่ตกแต่งด้วยดอกไม้ป่าและเทียนที่ส่องแสงอบอุ่น จอห์นนี่เล่นเพลงศพที่เขาได้รับ และในขณะที่โน้ตสุดท้ายสั่นสะเทือนไปทั่วป่า แสงประกายนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง นำทางเขาออกจากงานศพผ่านเส้นทางที่คุณย่าได้เดินมาและซึ่งเขากำลังจะตามไป

เส้นทางที่แสงนำทางเขาไปเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ลึกลับและข้อความที่เข้าใจยาก ซึ่งดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับเพลงศพที่คุณย่าทิ้งไว้ จอห์นนี่ได้เดินทางผ่านป่าที่เต็มไปด้วยเงามืดและสิ่งมีชีวิตที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน จนกระทั่งเขามาถึงสุสานเล็กๆ ที่ถูกลืม ณ ที่นั้น เขาพบหีบศพที่ไม่ได้เปิดออก ซึ่งดูเหมือนว่าคุณย่าของเขาจะเลือกเป็นที่ซ่อนสมบัติที่แท้จริงของเธอ

เมื่อจอห์นนี่เปิดหีบศพนั้นออก สิ่งที่เขาพบไม่ใช่ทองคำหรือเพชรพลอย แต่เป็นสมุดบันทึกเก่าที่บอกเล่าเรื่องราวของคุณย่าในช่วงเวลาที่เธอเดินทางไปทั่วโลก บันทึกการผจญภัย ความรัก และความสูญเสีย และบทเรียนที่เธอได้เรียนรู้จากชีวิตนักสำรวจที่มีค่ามากกว่าสมบัติใดๆ

จอห์นนี่กลับไปที่หมู่บ้านพร้อมกับสมุดบันทึกเล่มนั้นและเรื่องราวที่เขาจะเล่าต่อไป คุณย่าอีลีนอร์ได้สอนให้เขารู้ว่าสมบัติที่แท้จริงไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เราสามารถสัมผัสได้ แต่เป็นความทรงจำ ความรัก และเรื่องราวที่เราได้แบ่งปันในชีวิตของเรา และนั่นคือสิ่งที่เขาจะต้องพาต่อไปสู่อนาคต แม้ว่างานศพของคุณย่าจะจบลง แต่มรดกของเธอก็ยังคงอยู่ตลอดไป